ปริศนาคำทายมีองค์ประกอบหลัก ๒ ส่วนคือ ปริศนาและคำเฉลย ปริศนาเป็นส่วนที่อธิบายหรือบอกใบ้คำเฉลยแต่ในขณะเดียวกันคำอธิบายในปริศนาก็ลวงให้ผู้ฟังหลงทางด้วยลักษณะที่ทั้ง "แนะ" และ "ลวง" ดังกล่าวทำให้ปริศนาคำทายมีความน่าสนใจ กล่าวคือเมื่อแรกได้ยินข้อปริศนาคนฟังมักถูกลวงให้คิดผิดทางจนเกิดความฉงนงงงวยแต่เมื่อได้ทราบคำเฉลยแล้วก็จะคิดได้ถูกแนวทาง ปริศนาที่ดูเหมือนลึกลับและน่าฉงนนั้นก็กลับกลายเป็นเรื่องพื้น ๆ ที่ไม่มีอะไรชวนสงสัย ลักษณะดังกล่าวทำให้ปริศนาคำทายสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก นอกจากลักษณะเด่นดังกล่าวแล้วปริศนาคำทายมีลักษณะเด่นทางเนื้อหาและลักษณะเด่นทางภาษาที่น่าสนใจดังนี้
ปริศนาคำทายนั้นมีเนื้อหาหลากหลายแต่เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วสามารถสรุปลักษณะเด่นทางเนื้อหาได้เป็น ๓ ประการ คือ เนื้อหาเกิดจากการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว เนื้อหาเกิดจากความใส่ใจภาษา และเนื้อหาเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกขนบ
๑) เนื้อหาเกิดจากการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว
เนื้อหาส่วนใหญ่ของปริศนาคำทายของไทยเกิดจากการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่ว่าจะเป็นสิ่งของเครื่องใช้ พืชพรรณธรรมชาติ ความใส่ใจและช่างสังเกต ทำให้ผู้คิดปริศนาสามารถนำลักษณะเด่นที่น่าสนใจของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมาผูกขึ้นเป็นปริศนาดังในตัวอย่างต่อไปนี้
ปริศนานี้เกิดจากการสังเกตธรรมชาติทำให้เห็นลักษณะที่ดูเหมือนจะตรงกันข้ามกันของต้นมะขาม กล่าวคือลำต้นใหญ่มากแต่ใบเล็กมากจนไม่สามารถห่อเกลือได้
๒) เนื้อหาเกิดจากความใส่ใจภาษา
นอกเหนือจากการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวแล้ว คนไทยยังใส่ใจต่อภาษาที่ใช้เรียกสิ่งต่าง ๆ ด้วยความใส่ใจดังกล่าว ทำให้สังเกตเห็นลักษณะที่น่าสนใจบางอย่างที่สามารถนำมาผูกเป็นปริศนาได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ปริศนานี้แสดงให้เห็นว่าคนไทยใส่ใจต่อภาษาทำให้สังเกตเห็นความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเสียงในภาษา ๒ กลุ่ม คือ "ไทยเขียน" และ "เทียนไข" ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดจากการผวนคำอันเป็นลักษณะการเล่นกับภาษาที่โดดเด่นอย่างหนึ่งในวัฒนธรรมไทย
ปริศนาผะหมีหรือโจ๊กเป็นปริศนาที่ให้ความสำคัญกับภาษาเป็นอย่างยิ่ง ปริศนากลุ่มนี้ผูกขึ้นจากการสังเกตคำต่าง ๆ จนทำให้เห็นว่าคำเหล่านั้นมีลักษณะเด่นบางอย่างร่วมกันซึ่งสามารถนำมาสร้างเป็นปริศนาได้และนำคำต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน มารวมเป็นหมวดหมู่เพื่อใช้เล่นทายดังในตัวอย่างนี้
นามนางยักษ์ รักพระ อภัยท่าน
(ผีเสื้อสมุทร)
นามแหล่งธาร ขานไข กว้างใหญ่แสน
(มหาสมุทร)
นามนาวา ค้าของ ล่องข้ามแดน
(เรือเดินสมุทร)
นามถิ่นที่ พระสี่แขน แม้นบรรทม
(เกษียรสมุทร)
(ประสิทธิ์ ประสิว)
ความใส่ใจภาษาทำให้ผู้คิดปริศนานี้สังเกตเห็นว่าในภาษาไทยมีคำที่ลงท้ายด้วย "สมุทร" อยู่กลุ่มหนึ่ง จึงได้นำมาผูกเป็นปริศนา
๓) เนื้อหาเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกขนบ
เนื้อหาของปริศนาคำทายสร้างขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกขนบไม่ได้อิงกับความรู้ตามแบบแผน ลักษณะดังกล่าวทำให้ปริศนาคำทายต่างจากปัญหาทั่ว ๆ ไป และปัญหาทางวิชาการดังจะเห็นได้จากตัวอย่างนี้
ปัญหาวิชาการ : สองบวกสอง ได้อะไร (คำตอบ : สี่)
ปริศนาคำทาย : สองบวกสอง ได้อะไร (เฉลย : กระต่าย พูดพร้อมยกมือที่ชูนิ้วชี้และนิ้วกลางทั้งสองข้างขึ้นไปวางไว้เหนือศีรษะ)
จะเห็นว่าคำถามทั้งสองมีเนื้อความเหมือนกันแต่ปัญหาวิชาการมีเนื้อหาอิงกับความรู้ทางคณิตศาสตร์ในขณะที่ปริศนาคำทายอิงกับความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกขนบในตัวอย่างแรกซึ่งเป็นคำถามเชิงวิชาการนั้นผู้ฟังต้องใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ในการแก้ปัญหาว่า เมื่อรวมจำนวน "สอง" กับ "สอง" ผลลัพธ์จะได้เท่าไร คำตอบคือ "สี่" ในทางตรงกันข้ามสำหรับปริศนาคำทายนั้น ใช้แนวคิดนอกกรอบในการผูกปริศนา กล่าวคือ "สอง" ในปริศนานี้มิได้หมายถึงตัวเลขในทางคณิตศาสตร์แต่หมายถึงจำนวนนิ้วมือและ "บวก" ในที่นี้มิได้ต้องการทราบผลรวมของจำนวนนิ้วมือหากแต่ต้องการทายว่าอากัปกิริยาที่เกิดจากการรวมมือทั้งสองที่ชูสองนิ้วเข้าด้วยกันสามารถตีความถึงอะไรได้บ้าง "สอง" ในที่นี้คือ "สองนิ้ว" ซึ่งสื่อถึง "หูกระต่าย"
ปัญหาวิชาการ : อะไรอยู่ใต้สะพานพุทธ (คำตอบ : แม่น้ำเจ้าพระยา)
ปริศนาคำทาย : อะไรเอ่ยอยู่ใต้สะพานพุทธ (เฉลย : สระอุ)
ปัญหาวิชาการข้างต้นนั้นอิงกับความรู้ทางภูมิศาสตร์ ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือแม่น้ำเจ้าพระยา ในทางกลับกันปริศนาคำทายที่ใช้คำถามเดียวกันไม่ได้สร้างขึ้นจากพื้นความรู้ตามแบบแผนอย่างปัญหาวิชาการหากแต่มุ่งที่จะถามลักษณะ ที่เกี่ยวกับรูปเขียนของคำว่า "สะพานพุทธ" เป็นสำคัญ สำหรับเนื้อหาหลักของปริศนาผะหมีและโจ๊กนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ในการจัดหมวดหมู่คำต่าง ๆ ในภาษาไทยดังที่ได้กล่าวไปแล้ว การจัดหมวดหมู่โดยพิจารณาจากลักษณะร่วมทางภาษานับได้ว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง ดังตัวอย่างนี้
ดารานำงามแท้เล่นแม่เบี้ย (มะหมี่)
ช่วยชมเชียร์ภูษาผ้าลายสี (มัดหมี่)
อาหารจีนกินได้หลายเส้นดี (บะหมี่)
ลพบุรีมีนามเด่นอำเภอ (บ้านหมี่)
(ประสิทธิ์ ประสิว)
ในปริศนานี้หากพิจารณาในโลกของความเป็นจริงจะพบว่า "มะหมี่" "มัดหมี่" "บะหมี่" และ "บ้านหมี่" นั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด อย่างไรก็ดีหากมองโดยใช้เกณฑ์ทางด้านรูปภาษา เราก็จะพบลักษณะความสัมพันธ์ที่โดดเด่นระหว่างคำทั้งสี่คือลงท้ายด้วยคำว่า "หมี่" เหมือนกันซึ่งความคิดเชิงสร้างสรรค์ในการมองความสัมพันธ์ระหว่างคำเรียกสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เห็นลักษณะเด่นที่สามารถนำมาใช้ในการผูกปริศนาขึ้น
ลักษณะเด่นอีกส่วนหนึ่งของปริศนาคำทายคือลักษณะเด่นทางภาษา ภาษามีส่วนประกอบหลัก ๒ ส่วนคือ รูปภาษาและความหมาย ดังนั้นในการพิจารณาลักษณะเด่นทางภาษาของปริศนาคำทายจึงควรพิจารณาใน ๒ ส่วนดังกล่าว
ก. ลักษณะเด่นทางรูปภาษา
ลักษณะเด่นทางรูปภาษาของปริศนาคำทายมีหลายอย่าง อาทิเช่น การเล่นเสียงสัมผัส การซ้ำคำ และการใช้คำผวน
๑) การเล่นเสียงสัมผัส
การเล่นเสียงสัมผัสเป็นลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของปริศนาคำทายไทยปริศนา "อะไรเอ่ย" มักจะมีลักษณะเป็นร้อยแก้วที่มีสัมผัสคล้องจอง สัมผัสที่ใช้มีทั้งสัมผัสสระและสัมผัสพยัญชนะ สัมผัสที่พบมากคือ สัมผัสสระ ดังเช่นในตัวอย่างต่อไปนี้
ในปริศนานี้มีเสียงสัมผัสสระระหว่างคำว่า "งอ" กับ "คอ" และระหว่างคำว่า "อ่อน" กับ "ก่อน" นอกจากนี้ยังมีเสียงสัมผัสพยัญชนะระหว่างคำว่า "กิน" กับ "ก่อน"
สัมผัสสระที่พบในปริศนานี้เกิดจากคำว่า "ชั้น" กับ "ฟัน" และคำว่า "หน" กับ "คน" นอกจากนี้ยังมีสัมผัสพยัญชนะระหว่างคำว่า "คน" และ "ขา"
นอกจากปริศนา "อะไรเอ่ย" แล้วโคลงทายและปริศนาผะหมีก็เน้นการเล่นเสียงสัมผัส บทปริศนาของปริศนาทั้งสองนี้จะแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทต่าง ๆ ทั้งโคลง กลอน กาพย์ และฉันท์ ดังนั้นจึงมีการใช้เสียงสัมผัสคล้องจองตามแบบแผนฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์แต่ละประเภทด้วย ยกตัวอย่างเช่น
ใช่นาคาตัวนิดพิษเหลือหลาย (งูสามเหลี่ยม)
สตรีร้ายขายหน้าท่านว่าชั่ว (หญิงสามผัว)
บุรุษร้ายใครไม่ทำให้ต่ำตัว (ชายสามโบสถ์)
มากหัวมากหน้าภูผาใด (เขาสามมุข)
(พังเพย ใจรักธรรม)
ในปริศนานี้มีการเล่นเสียงสัมผัสสระระหว่างคำต่อไปนี้ นิด-พิษ หลาย-ขาย ร้าย-ขาย หน้า-ว่า ชั่ว-ตัว ทำ-ต่ำ ไม่-ให้ ตัว-หัว หน้า-ผา นอกจากนี้มีเสียงสัมผัสพยัญชนะระหว่างคำต่อไปนี้ เหลือ-หลาย ต่ำ-ตัว และ ภู-ผา นอกจากเสียงสัมผัสสระและสัมผัสพยัญชนะแล้วปริศนาผะหมีหรือโจ๊กชนิดที่เรียกว่า "โจ๊กคำผัน" มีเสียงสัมผัสวรรณยุกต์เป็นลักษณะเด่นที่ร้อยเรียงคำเฉลยในชุดเข้าด้วยกัน
๒) การซ้ำคำ
การซ้ำคำ คือ การนำคำที่ได้ใช้ไปแล้วมาใช้ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง การซ้ำคำจะทำให้เกิดเสียงที่ไพเราะ ดังตัวอย่างนี้
ตัวอย่างปริศนาข้อนี้มีการซ้ำคำว่า "ข้าง" และ "ร้อง" ทำให้เกิดโครงสร้างคู่ขนานกันระหว่าง "ข้างนอกร้องเพลง" กับ "ข้างในร้องไห้"
ในตัวอย่างนี้ มีการซ้ำคำว่า "แล้ว" ซึ่งอยู่ตรงกลางของคำใบ้ในปริศนา การซ้ำในลักษณะนี้ทำให้เกิดโครงสร้างคู่ขนานกันระหว่างคำใบ้ทุกชุด นอกจากนี้คำที่ประกอบในคำใบ้แต่ละชุดมีลักษณะที่เป็นคู่ตรงข้ามกันคือ ดำ-ขาว ยาว-สั้น มั่น-คลอน
สำหรับปริศนาชุดผะหมีหรือโจ๊กนั้นการซ้ำคำเป็นลักษณะสำคัญที่พบในชุดคำเฉลย ดังจะเห็นได้จากในตัวอย่างข้างต้นชุดคำเฉลยคือ งูสามเหลี่ยม หญิงสามผัว ชายสามโบสถ์ เขาสามมุข มีลักษณะร่วมกันคือการซ้ำพยางค์กลาง คือ "สาม"นอกจากการซ้ำพยางค์กลางแล้วยังมีการซ้ำพยางค์ต้นและการซ้ำพยางค์ท้ายของคำในชุดคำเฉลยอีกด้วย
๓) การใช้คำผวน
คำผวนเป็นลักษณะการเล่นกับเสียงที่คนไทยรู้จักคุ้นเคยดี การผวนคำมีหลักคือคำที่นำมาผวนนั้นต้องมีอย่างน้อย ๒ พยางค์ ในการผวนนั้นให้คงเสียงพยัญชนะต้นของแต่ละพยางค์ไว้จากนั้นสลับเสียงสระและพยัญชนะของพยางค์หน้าและพยางค์หลัง เช่น "ตาลาย" ผวนได้เป็น "ตายลา" ในกรณีที่คำนั้นมีมากกว่า ๒ พยางค์ พยางค์กลางจะคงเสียงเดิมไว้ เช่น "หมูกินขี้กา" ผวนได้เป็น "หมากินขี้กู" ส่วนใหญ่คำที่ผวนแล้วนั้นมักไม่มีความหมายอะไรแต่ก็มีในบางครั้งที่คำที่ผวนแล้วนั้นไปตรงกับคำที่มีความหมาย
คำผวนในปริศนาข้อนี้อยู่ในส่วนคำเฉลย กล่าวคือก่อนจะได้คำเฉลยที่ถูกต้องจะต้องมีการผวนคำก่อน ๑ ชั้น คำเฉลยว่า "มะนาวต่างดุ๊ด" นั้นไม่มีความหมายแต่เมื่อผวนเป็น "มนุษย์ต่างดาว" จึงจะได้สิ่งที่เป็นไปตามที่ปริศนาบอกใบ้ คือ "อยู่นอกโลก" นอกจากปริศนาอะไรเอ่ยแล้วคำผวนยังใช้มากในการสร้างปริศนาผะหมีทั้งผะหมีถ้อยคำและผะหมีรูปภาพ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
มาหนึ่งคือผู้ให้เกิดกาย (มาดาน-มารดา)
มาหนึ่งสาธยายเวทซึ้ง (มาตรน-มนตรา)
มาหนึ่งขอเชิญทายเดือนหนึ่ง (มานี-มีนา)
มาหนึ่งอย่าอ้ำอึ้งค่าเพี้ยงเพชรพลอย (มาดุ๊ก-มุกดา)
คำเฉลยในปริศนาชุดนี้มีลักษณะเด่นร่วมกันคือทุกคำจะต้องนำมาผวนอีก ๑ ครั้งจึงจะได้คำเฉลยที่ถูกต้อง มีความหมายสอดคล้องกับคำใบ้ในตัวปริศนา
ข. ลักษณะเด่นทางความหมาย
นอกจากลักษณะเด่นทางด้านรูปภาษาแล้วปริศนาคำทายยังมีลักษณะเด่นทางความหมายหลายประการ เช่น การใช้ความเปรียบ การใช้ความกำกวม และการใช้ความขัดแย้ง
๑) การใช้ความเปรียบ
การใช้ความเปรียบเพื่อเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งว่าเหมือนกับอีกสิ่งหนึ่งนั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การอุปมาโดยสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบนั้นมักจะมาจากคนละกลุ่มกันแต่มีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งคล้ายกัน ตัวอย่างเช่น "ความรักเหมือนยาพิษ" เป็นการเปรียบเทียบความรักว่ามีคุณสมบัติบางอย่างราวกับเป็นยาพิษ อาจหมายความว่าทั้งสองสิ่งสามารถทำให้เกิดความเจ็บปวดทุกข์ทรมานได้ในปริศนาคำทายส่วนใหญ่มีการใช้ความเปรียบ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ในตัวอย่างนี้มีการเปรียบเทียบ "ไข่" ว่าเป็น "หีบสีขาว" และเปรียบเทียบ "ไข่แดง" ซึ่งอยู่ในเปลือกไข่ว่าเป็น "ผ้าสีเหลืองที่บรรจุอยู่ในหีบ"
ในตัวอย่างนี้มีการเปรียบเทียบ "เคียว" ว่าเป็นเสมือน "ยายแก่" โดยทั้งสองสิ่งมีส่วนที่เหมือนกันคือ มีส่วนกลางโค้งงอ สื่อความหมายว่า ยายแก่มักหลังค่อม และใบเคียวมีลักษณะโค้งงอ
๒) การใช้ความกำกวม
ความกำกวม คือ ลักษณะที่รูปภาษาหนึ่งสามารถตีความความหมายได้มากกว่า ๑ ความหมาย ตัวอย่างเช่น "ตากลม" สามารถตีความว่าหมายถึง ดวงตาที่มีลักษณะกลมและในขณะเดียวกันก็สามารถตีความได้อีกว่าเป็นกริยาหมายความว่า "ผึ่งลม" ปริศนาคำทายใช้ความกำกวมในการลวงให้ผู้ฟังตีความผิดและหันเหความสนใจของผู้ฟังทำให้ไม่สามารถเดาคำเฉลยที่ถูกต้องได้ ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงการใช้ความกำกวมในปริศนาคำทาย
ในตัวอย่างนี้ "ข้างหน้า" เป็นส่วนที่กำกวม กล่าวคือสามารถตีความได้มากกว่า ๑ ความหมาย ความหมายแรกคือ "ด้านหน้า" ซึ่งเป็นการมอง "ข้างหน้า" ในฐานะคำประสมส่วนอีกความหมายหนึ่งคือ "ด้านข้างของใบหน้า" ความหมายนี้เกิดจากการพิจารณา "ข้างหน้า" ในฐานะที่เป็นวลีโดยทั่วไปความหมายของ "ข้างหน้า" ในฐานะที่เป็นคำประสมเป็นสิ่งที่ใช้บ่อยกว่า ดังนั้นผู้ฟังจึงมักหลงคิดว่าผู้ทายปริศนาต้องการถามว่า "สิ่งใดอยู่ที่ด้านหน้า" มากกว่าแต่เมื่อได้ฟังคำเฉลยจึงได้ทราบว่า ปริศนานี้ต้องการถามว่า "สิ่งใดที่อยู่ด้านข้างของใบหน้า"
ปริศนานี้แสดงให้เห็นความเป็นคนที่ชอบสนุกกับภาษาและความช่างสังเกตของคนไทยได้เป็นอย่างดี ปริศนานี้สร้างขึ้นจากการสังเกตเครื่องหมายการค้าของรถยนต์ยุโรปยี่ห้อหนึ่งซึ่งเป็นรูปห่วง ๔ วงคล้องกันและมักติดอยู่ตรงด้านหน้าของตัวรถและจากการสังเกตเห็นถึงความกำกวมของกลุ่มเสียง "น่าเป็นห่วง" โดยกลุ่มเสียงนี้สามารถตีความว่า "น่าเป็นห่วง" (ลักษณะอาการซึ่งควรจะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ) หรืออาจตีความเป็นประโยคว่า "หน้าเป็นห่วง" (ด้านหน้ารถมีห่วง) การตีความอย่างแรกมีความโดดเด่นกว่าเพราะเป็นวลีที่ใช้จนติดปากในภาษาไทย ดังนั้นเมื่อผู้ฟังได้ยินปริศนาก็มักนึกถึงความหมายในนัยนี้และถูกลวงให้หลงทางได้ซึ่งความกำกวมดังกล่าวถือว่าเป็นความกำกวมในระดับโครงสร้างวลี
๓) การใช้ความขัดแย้ง
ความขัดแย้งที่พบในปริศนาคำทายมักมีลักษณะที่เมื่อได้พิจารณาโดยถ้วนถี่จะพบว่าแท้จริงแล้วมิใช่ความขัดแย้งเป็นเพียงสิ่งที่ดูเหมือนจะขัดแย้ง ลักษณะเช่นนี้มีศัพท์เรียกว่า "อรรถวิภาค" (paradox) การใช้ความขัดแย้งในลักษณะดังกล่าวก่อให้เกิดความเข้าใจว่าสิ่งที่บรรยายไว้ในปริศนานั้นไม่น่าเป็นไปได้เมื่อผู้ฟังหลงคิดเช่นนั้นก็ไม่สามารถเดาคำตอบได้ ดังตัวอย่างนี้
ในปริศนานี้คือ "ยิ่งตัด" ดูเหมือนจะมีความหมายขัดแย้งกับ "ยิ่งยาว" ทั้งนี้เพราะการตัดหมายถึงการทำให้วัตถุขาดออกจากกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือทำให้สิ่งนั้นสั้นลง ดังนั้นเมื่อ "ยิ่งตัด" ผลที่ตามมาควรจะเป็น "ยิ่งสั้น" เมื่อปริศนาบอกใบ้ว่า "ยิ่งตัดยิ่งยาว" จึงดูเหมือนเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันและเป็นไปไม่ได้แต่คำว่า "ตัด" นั้นเมื่อใช้กับสิ่งของบางอย่าง เช่น "เสื้อ" หรือ "ถนน" แล้วจะมีความหมายว่า "ผลิต สร้าง ทำให้เกิดขึ้น" เมื่อใช้ "ยิ่งตัด" กับ "ถนน" แล้วผลลัพธ์ที่ได้คือ "ยิ่งยาว" ดังนั้น "ยิ่งตัดยิ่งยาว" จึงไม่ได้ขัดแย้งกันและเป็นไปได้